เริ่มกินคลีนยังไงดี ให้ดีต่อสุขภาพกายใจ

     หลังจากที่เราได้รู้กันแล้วว่า อาหารคลีนคืออะไร วันนี้เราจะมาดูกันว่า เริ่มกินคลีนยังไงดี สำหรับหลายๆคนตอนนี้ก็คงเริ่มหันมาสนใจเรื่องการทานอาหารคลีนกันบ้างแล้วใช่ไหมครับ แต่บางคนก็อาจจะยังกล้าๆกลัวๆอยู่ กลัวว่าจะทำไม่สำเร็จ กลัวว่าจะทำไม่ได้ ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะว่าวันนี้เราจะมาเรียนรู้การทานอาหารคลีน ที่ทั้งดีต่อสุขภาพกาย และสุขภาพใจกันครับ

     แต่ก่อนที่จะไปเริ่ม ก็ต้องขอออกตัวก่อนนะครับ ว่าทั้งผมและเด็กน้อยนั้น ไม่ได้ทานคลีนแบบ 100% แต่เราจะใช้หลักการเลือกทานอาหารให้มีประโยชน์ ดีต่อร่างกาย พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่คลีนเท่าที่เราจะสามารถทำได้ แต่ก็ไม่กดดันตัวเองมากเกินไปครับ ส่วนรายละเอียดเป็นยังไงเดี๋ยวเราไปติดตามด้านล่างครับ

1. ตั้งเป้าหมาย

     สิ่งสำคัญที่จะทำให้เราสามารถเอาชนะใจตัวเองได้เสมอก็คือ เป้าหมายที่ชัดเจน และมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ ดังนั้นเราควรตั้งเป้าหมายและเขียนติดไว้ว่าเรามีเป้าหมาย 1 เดือน, 3 เดือน, 6 เดือน และปีต่อๆไปอย่างไราบ้าง ซึ่งเป้าหมายเหล่านี้ ก็ต้องเป็นเป้าหมายที่สามารถทำได้จริงด้วย อย่าตั้งเป้าหมายที่ยากเกินไปและง่ายเกินไป ในช่วงแรกๆอาจทำได้ไม่ครบทุกมื้อ ก็ไม่เป็นไรครับอาจจะตั้งเป้าหมายทำให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 มื้อก่อนก็ได้ เมื่อร่างกายชินแล้วก็ค่อยเพิ่มเป็น 2 มื้อ 3 มื้อ

2. วางแผนการทานอาหารคลีนอย่างเหมาะสม

     แต่ละคนจะมีลักษณะการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน เช่น เด็กมหาวิทยาลัย ก็จะมีเวลาว่างเยอะหน่อย แต่มีอุปกรณ์หรือสถานที่ไม่เอื้อต่อการทำอาหารเอง หรือคนทำงานก็มีเวลาจำกัด เช้าต้องรีบไปทำงานกว่าจะถึงบ้านก็มืด ดังนั้น เราจึงควรวางแผนที่เหมาะกับเราเอง หรือจะนำของคนอื่นมาดัดแปลงก็ได้ ซึ่งก็ต้องเลือกที่สะดวกกับเรามากที่สุด

     คนที่ทำงานแล้วจะให้หันมาทานคลีนครบทั้ง 3 มื้อ ก็อาจเป็นไปได้ยาก หลายๆคนก็เลยกังวล ท้อ แล้วก็เลิกไปเลย จริงๆแล้วการมีเวลาน้อย ไม่ใช่อุปสรรคเลยครับ เราสามารถเลือกทานให้เหมาะกับตัวเองได้ เช่น ตอนเช้าต้องรีบไปทำงานก็อาจจะต้องเตรียมอาหารไว้ตั้งแต่กลางคืนหรือทำอาหารเช้าที่ง่ายๆ ใช้เวลาน้อยที่สุด สำหรับมื้อกลางวันถ้าไม่สะดวกทำไปทานที่ทำงาน ก็ไม่ต้องซีเรียสครับ เราไม่ต้องทานคลีนทุกมื้อก็ได้ถ้าเราไม่สะดวก แต่เราก็ควรเลือกทานอาหารที่ดี ไม่มัน ไม่ปรุงรสจัดเกินไป เปลี่ยนจากทานข้าวขาหมู มาเป็นแกงจืดกับไข่ต้มแบบนี้เป็นต้นครับ สำหรับอาหารเย็น ถ้ามีเวลาหน่อยก็ควรเลือกซื้ออาหารที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย ทานผักให้มากขึ้น ไม่ทานเยอะเกินไป เสาร์อาทิตย์ ถ้าพอมีเวลาก็ลงมือทำอาหารทานเองได้นะครับ

3. ค่อยๆปรับเปลี่ยนอาหาร ลดการปรุงรสลง

     การที่เราหันมาดูแลสุขภาพกายนั้นเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ที่สำคัญเราต้องดูแลสุขภาพใจด้วย การหักดิบหันมาทานอาหารคลีนแบบ 100% ทันทีนั้น อาจทำให้เกิดความรู้สึกดีในช่วงแรกๆ แต่ไม่นานเราเกิดความเครียด รู้สึกไม่มีความสุขกับการดูแลตัวเอง สุดท้ายก็ทำให้เราต้องล้มเลิก ผมเองอยากจะแนะนำว่า ควรค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ค่อยๆลดการปรุงอาหารจัด แต่ไม่ต้องถึงกับไม่ปรุงเลย  เวลาทานอาหารข้างนอกก็พยายามไม่ปรุงเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นการปรุงรสก๋วยเตี๋ยว หรือการเติมน้ำปลา ลดการทานอาหารแปรรูป ของหมัก ของดอง

4. เลือกทานผักผลไม้มากขึ้น

     ด้วย life style ในปัจจุบัน ชีวิตเร่งรีบมากขึ้น บางคนอาจไม่มีเวลาในการเลือกซื้อ เลือกรับประทานอาหารมากนัก ไม่ค่อยได้ใส่ใจในอาหารที่ทานเข้าไป ทานผักผลไม้น้อย การทานอาหารคลีนควรเน้นอาหารที่หลากหลาย ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ การใส่ใจทานผักผลไม้สดมากขึ้นจะทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน ใยอาหารซึ่งช่วยในระบบขับถ่าย

5. เลือกดื่มน้ำเปล่า แทนน้ำอัดลม ชา กาแฟ

     ควรหันมาดื่มน้ำเปล่ามากขึ้น เลี่ยงการดื่มน้ำชา กาแฟ น้ำอัดลมและน้ำหวานอื่นๆ เพราะส่วนใหญ่มีน้ำตาลมาก ประโยชน์น้อย

6. เปลี่ยนขนมขบเคี้ยว เป็นผักผลไม้แทน

     ช่วงที่หิวระหว่างมื้อแทนที่จะทานขนมขบเคี้ยว เบเกอรี่ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแป้งมาก ไขมันและน้ำตาลสูง ควรเปลี่ยนมาเป็นผักผลไม้ หั่นเป็นชิ้นๆแช่เย็นไว้ก็ยิ่งอร่อย เช่น แครอท, แตงกวา, แอปเปิ้ล, ฝรั่ง เป็นต้น ลดความเสี่ยงเป็นเบาหวาน ไขมัน คอเรสเตอรอลสูงครับ

7. ลองทำอาหารเองบ้าง

     ถ้ามีเวลาว่างในวันหยุด ควรลองทำอาหารทานเอง เพราะว่าเราสามารถเลือกวัตถุดิบที่คุณภาพดี เช่น อาจปลูกผักเองหรือเลือกซื้อผักปลอดสารพิษ เป็นต้น ควบคุมเรื่องความสะอาด การปรุงรสไม่มากเกินไปได้ดีกว่าการไปซื้อที่ร้าน เวลาที่เราทำอาหารก็ไม่ต้องใส่ผงชูรส ก็จะดีต่อร่างกายเรามากขึ้น

8. ไม่กดดันตัวเองมากเกินไป

     การกดดันตัวเองมากเกินไป คิดว่าเราจะต้องทำให้ได้ตลอดเวลา ต้องกินคลีนทุกมื้อ กินแล้วทำไมไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง จะทำให้เราเครียดรู้สึกไม่มีความสุข เกิดความท้อแล้วก็ทำให้ไม่อยากทำอีก ดังนั้น เราไม่กดดันตัวเองมากเกินไป บางครั้งอาจทำไม่ได้บ้าง ผิดพลาดบ้างก็ไม่เป็นไรให้อภัยตัวเองบ้าง อาจจะมีสักหนึ่งวันให้ตัวเองได้ทานของที่ชอบได้ เพื่อเป็นการผ่อนคลายตัวเองก็ได้ครับ ไม่ได้ถือว่าผิดอะไร ไม่ควรเน้นความเพอร์เฟค แต่คาดหวังว่าเราจะทำได้ต่อเนื่อง เพื่อเป็นการดูแลตัวเองในทุกๆวัน

     เป็นยังไงกันบ้างครับ พอจะนำไปปรับใช้กันได้บ้างไหม ใครติดขัดตรงไหนก็สอบถามกันได้นะครับ สำหรับสุดท้ายนี้ก็อยากจะบอกว่า การดูแลตัวเองเป็นเรื่องที่เราต้องทำให้เป็น life style ทำทุกวันอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำแค่บางช่วงบางเวลา ดังนั้น เราต้องมีความสุขกับสิ่งที่ทำด้วยครับ